ร้อยกรองกาล : Kala Ensemble <<< Please scroll down for English >>>
ผลงานศิลปะจัดวางสื่อผสม โดย จิตติ เกษมกิจวัฒนา
ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023
9 ธันวาคม 2566 - 30 เมษายน 2567
ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน และวัดป่าสัก
อินสตาแกรม : kala.ensemble
เพื่อเป็นการสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ พิธีกรรม และศาสนา ซึ่งมีมาอย่างยาวนานของเชียงราย สถานที่จัดงาน ไทยแลนด์เบียนนาเล่ ครั้งที่ 3 นี้ ผลงาน “ร้อยกรองกาล” ของจิตติ เกษมกิจวัฒนา ได้หยิบยกสองสิ่งที่มีพื้นฐานเกี่ยวข้องกับ “หน้า” ในอารยธรรมล้านนา อันได้แก่ หน้ากาล (อสูรเทพผู้ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าศาสนสถาน อีกนัยหนึ่งเป็นสัญญะของเวลา) และหน้ากลองสะบัดชัย (หรือกลองปูจา เครื่องให้จังหวะที่มีบทบาทด้านพิธีกรรมของล้านนา) มาเป็นฐานทางรูปทรงในการนำเสนอผลงานศิลปะที่มีเนื้อหาในการสำรวจศิลปกรรม และประวัติศาสตร์การเดินทางของการเผยแพร่พระพุทธศาสนา จากต่างยุคต่างสมัย ต่างนิกาย ต่างพื้นที่ ที่แม้จะเน้นบริบทของเมืองเชียงแสนและอาณาจักรล้านนาเป็นหลัก แต่ก็ได้ขยายต่อไปไกลถึงอินเดีย อัฟกานิสถาน ทิเบต ฯลฯ ตามเส้นทางการเคลื่อนตัวของพุทธศาสนาในอดีตกาล
ชื่อผลงาน “ร้อยกรองกาล” ส่วนหนึ่งมีที่มาจาก ‘หน้ากาล’ อสูรเทพเสมือนผู้ดำรงอยู่เหนือกาลเวลา ที่เป็นเนื้อหาหลักอย่างเป็นรูปธรรมที่นำเสนออย่างมีนัยสำคัญในงานชิ้นนี้ ซึ่งตามคติอินเดียโบราณ หน้ากาลหรือเกียรติมุขเป็นผู้พิทักษ์ศาสนสถาน และอีกนัยหนึ่งยังเป็นสัญลักษณ์ของเวลา ผู้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง
นอกจากนี้ ‘กาล’ ในผลงานชิ้นนี้ของจิตติยังเกี่ยวข้องกับตัวกาลเวลาเอง ซึ่งเขาได้หยิบยกประเด็นเรื่องราวต่าง ๆ ที่ว่าด้วยกาลเวลา ที่มีความสัมพันธ์กับบริบทของโบราณวัตถุและโบราณสถาน ในพื้นที่ที่ใช้จัดแสดงมาสื่อสารผ่านงานศิลปะชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็น กาลเวลาตามพุทธคติ การทบทวนร่องรอยศิลปกรรมของศาสนสถานที่ใช้จัดแสดง เวลาในอดีตกาล ยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าได้เคยเดินทางไปถึงในดินแดนต่าง ๆ จากตำนานพระเจ้าเลียบโลก โดยจิตติได้กรองส่วนที่น่าสนใจมาเรียงร้อยนำเสนอให้อยู่ในระนาบเดียวกันอีกทีหนึ่ง
ชื่อผลงาน “ร้อยกรองกาล” ยังได้ถูกใช้ซ้ำในผลงานศิลปะร่วมสมัยทั้งสองชิ้นของจิตติ ที่จัดแสดงในเบียนนาเล่นี้ ด้วยความตั้งใจที่จะให้มีความล้อซึ่งกันและกัน โดยการผสมผสานเทคนิคงานวิดีโอ ประติมากรรม และศิลปะจัดวางเข้าด้วยกัน ชิ้นแรกอาศัยกลวิธีสอดแทรกประสานงานให้กลืนกับพื้นที่นิทรรศการภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม และเน้นการสร้างประสบการณ์การชมผลงานแบบไล่เรียงไปทีละชิ้นเป็นหลัก ส่วนชิ้นหลังได้จงใจติดตั้งอยู่กลางแจ้งอย่างโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางโบราณสถานสำคัญของเชียงราย และเน้นประสบการณ์การชมที่อิงแอบกับบริบทประวัติศาสตร์ของพื้นที่ที่แสดง โดยทั้งสองชิ้นต่างอยู่คนละพื้นที่ แต่มีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่
ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน
สถานที่จัดแสดงแรกคือมุมจัดแสดงศิลปะวัตถุโบราณจากวัดป่าสักอย่างพระพุทธรูปปางเปิดโลกและประติมากรรมปูนปั้นรูปหน้ากาล ภายในอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน จิตติได้ติดตั้งจอมอนิเตอร์ขนาดเล็ก 2 จอ เสริมเข้ามาเพื่อเสนอภาพเคลื่อนไหว ถ่ายทอดภาพของหน้ากาลและโลกธาตุในมิติต่าง ๆ กับติดตั้งภาพแผ่นทองเหลืองทรงกลมซึ่งได้ถูกจารเป็นรูปไดอะแกรมที่ขยายความความเชื่อเกี่ยวกับโลกธาตุและจักรวาลตามพุทธคติ
จอแรกที่อยู่ทางซ้ายของหุ่นปูนปั้นหน้ากาล นำเสนอภาพด้วยการใช้เทคนิคการขึ้นรูปหุ่นปูนปั้นเหมือนจริงของหน้ากาลจากวัดป่าสัก ศาสนสถานและโบราณสถานสำคัญของเมืองเชียงแสน โดยเริ่มให้เห็นทั้งแบบเต็มชิ้นด้านหน้า ซูมระยะเข้าใกล้ และกลับมาเป็นหน้าตรง แล้วแปรเป็นรูปเสมือนจริง
หลังจากนั้นหน้าจอก็จะแปลงเป็นหน้ากาลทั้งหมด 8 แบบ จากยุคสมัยและแนวศิลปะต่าง ๆ กัน โดยไล่เรียงกันไป ระหว่าง 1) สมัยหริภุญชัย 2) สมัยสุโขทัย 3) ศิลปะอินเดียผ่านรูปเกียรติมุข (อีกชื่อหนึ่งของหน้ากาล) จากวิหารเทวราณี จากแคว้นโกศลในอดีต (ซึ่งปัจจุบันคือรัฐฉัตตีสครห์) 4) ศิลปะบามิยัน อัฟกานิสถาน 5) ศิลปะนาลันทา อินเดีย 6) ศิลปะอินเดียผ่านเกียรติมุขจารึกบนราวเสาหินจากพุทธคยา รัฐพิหาร 7) ศิลปะจีน ผ่านรูปอสูรเทาเที่ย (Taotie) และ 8) ศิลปะทิเบต-เนปาล ผ่านรูปมหากาล (Mahākāla)
ในจอที่ 2 ทางขวาของพระพุทธรูปปางเปิดโลก นำเสนอรูปลายเส้นหน้ากาลวัดป่าสัก โดยมีวลีประกอบใต้ภาพด้วยรูปอักษรจากภาษาเขียนโบราณหรือภาษาปัจจุบันบ้าง ที่บ้างได้ถ่ายถอดเสียงวลีภาษาบาลี “พุทฺโธ โลก อาวิวรโณ” อันแปลว่า “พระเจ้าเปิดโลก” และหรือบ้างก็ใช้ถ้อยคำตามคำแปลในภาษาของอักษรนั้นๆ ที่สื่อใจความเดียวกันว่า “พระเจ้าเปิดโลก” โดยเริ่มจากตัวอักษรไทยสมัยสุโขทัย อักษรฝักขาม อักษรปัลลวะ อักษรมอญโบราณ อักษรไทลื้อ อักษรไทเขิน (ขึน) อักษรไทน้อย อักษรเทวนาครี อักษรสิงหล อักษรพราหมี อักษรธรรมล้านนา อักษรภาษาพม่า อักษรภาษาไทใหญ่ อักษรภาษาลาว อักษรภาษาอังกฤษ อักษรภาษาจีน และอักษรไทยปัจจุบัน
พอหลังไล่จนครบตัวอักษรดังกล่าวแล้ว ภาพลายเส้นหน้ากาลจะกลายเป็นภาพแอนิเมชัน ที่ดัดแปลงมาจากภาพนิ่งแสดงรูปของจักรวาลที่สังเกตได้ (Observable universe) ของศิลปิน Pablo Carlos Budassi ซึ่งถือกันว่าเป็นรูปที่แสดงสันฐานของจักรวาลได้อย่างใกล้เคียงที่สุดในปัจจุบัน และวนกลับเป็นรูปลายเส้นหน้ากาลซ้ำตามภาพแรก
การว่ายวนอยู่ในโลกชั่วกัปชั่วกัลป์
การชมภาพที่วนเป็นลูปไปมาผ่านผลงาน “ร้อยกรองกาล : Kala Ensemble” ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ทำให้ผู้ชมนึกถึงพุทธคติที่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพานสัตว์โลกก็ต้องเกิดดับวนเวียนอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ ไม่รู้จบสิ้น รวมถึงสะท้อนให้เห็นว่าภพภูมิต่าง ๆ ที่สัตว์โลกอาศัยอยู่นั้นมีจำนวนมาก ซ้อนทับกันไปมาในแต่ละจักรวาล ต่างล้วนประกอบกันขึ้นมาเป็นโลกธาตุที่มีหลายขนาด โดยที่สัตว์โลกแต่ละชีวิตก็ใช้เวลาว่ายวนในโลกธาตุนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์
เมื่อโลกทุกโลกถูกเปิดออก
วลี “พระเจ้าเปิดโลก” ในงานชิ้นนี้เชื่อมโยงถึงความเชื่อตามพุทธคติ ที่ว่าด้วยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นวาระอันดีที่จะสัตว์โลกจะได้รับคำสอนที่จะนำให้พ้นไปจากสังสารวัฏ ตามเหตุการณ์สำคัญหนึ่งตามพุทธประวัติที่ว่าด้วยการเปิดโลก ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ หลังเสร็จสิ้นการขึ้นไปแสดงพระธรรมโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทพยดาบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ก่อให้เกิดแสงสว่างที่ส่องให้ทุกภพภูมิมองเห็นซึ่งกันและกันได้ ไม่ว่าจะเป็นพรหมภูมิ เทวภูมิ มนุษย์ภูมิ และนรกภูมิ [ที่มา: พระไตรปิฎก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ เรื่องยมกปาฏิหาริย์]
ณ วัดป่าสัก
ผลงาน “ร้อยกรองกาล” ส่วนที่สอง ได้ติดตั้งแบบศิลปะจัดวางกลางแจ้งที่วัดป่าสัก ศาสนสถานเก่าแก่ซึ่งได้กลายเป็นโบราณสถานสำคัญของเชียงราย และยังถือว่าเป็นแหล่งพุทธศิลป์และศิลปะโบราณสำคัญระดับประเทศ ด้วยเหตุที่เป็นจุดรวมศิลปะหลายยุคหลากสมัยเข้าด้วยกัน ตั้งแต่พุกาม ล้านนา ตลอดจนถึงสุโขทัย รวมทั้งอิทธิพลของศิลปะขอมและจีน โดยมีผลงานชิ้นล้ำค่าอย่างเจดีย์วัดป่าสัก ซึ่งมีลวดลายปูนปั้นประดับอย่างสวยงาม
ลานจัดแสดงอยู่บริเวณระหว่างเจดีย์ประธานกับพระอุโบสถหลังเดิม ประกอบไปด้วยงานประติมากรรมรูปทรงกลมที่มีเค้าโครงต้นแบบมาจากหน้ากลองสะบัดชัย ตั้งอยู่บนเสาจำนวน 12 ต้น ตัวหน้ากลองแทนที่จะเป็นหนังสัตว์กลับทำจากแผ่นทองเหลืองแบนรูปวงกลมที่สามารถพลิกสะบัดไปมา แต่ละชิ้นถูกติดตั้งอยู่ภายในกรอบรูปคล้ายฟันเฟืองที่ยึดไว้กับเสาอีกที เพื่อที่จะเทียบกับปากของหน้ากาล นอกจากนี้ลูกเล่นในการพลิกได้ของหน้ากลองโลหะไร้เสียงของจิตติยังสามารถโยงไปสู่วิถีของพุทธศาสนิกชนสายวัชรยานในแถบทิเบตที่ถือเอาการหมุนกงล้ออธิษฐาน เป็นการสักการะและสร้างบุญกุศลอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ บนแผ่นหน้ากลองโลหะด้านหนึ่งได้จารึกถ้อยคำเดียวกันที่คัดลอกและแปลมาจากจูฬนิกาสูตร (พระสูตรที่ว่าด้วยอาณาเขตโลกธาตุขนาดเล็ก) ส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก โดยแยกกันไปตามตัวอักษรของ 12 ภาษา ดังนี้ 1. อักษรไทยสมัยสุโขทัย 2. อักษรฝักขาม 3. อักษรธรรมล้านนา 4. อักษรไทใหญ่ 5. อักษรไทเขิน 6. อักษรลาว 7. อักษรไทน้อย 8. อักษรเทวนาครี 9. อักษรปัลลวะ 10. อักษรมอญโบราณ 11. อักษรสิงหล และ 12. อักษรพม่า ซึ่งต่างล้วนเป็นภาษาของชาติพันธุ์ที่เคยอยู่ในพื้นที่นี้ หรือที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนตัวของพระพุทธศาสนา โดยผู้ชมสามารถรู้ชื่อภาษาของแต่ละอักษรโดยสแกนรหัสคิวอาร์ เพื่อเข้าไปยังข้อมูลออนไลน์บนอินสตาแกรม (Instagram) ส่วนการเลือกใช้แผ่นทองเหลืองเป็นหน้ากลองก็เพื่อล้อไปกับเศษแผ่นจังโกที่เคยใช้ประดับเจดีย์ตามลักษณะศิลปกรรมล้านนา และกลายมาเป็นโบราณวัตถุพบตกหล่นในวัดป่าสัก
หน้ากาล : เมื่อผู้ดูแล/พิทักษ์กาลเวลาถูกนำมาล้อ และปลุกให้ตื่น
หากดูเผิน ๆ แล้ว งานศิลปะจัดวางติดตั้งกลางแจ้ง “ร้อยกรองกาล” ส่วนที่วัดป่าสักไม่ได้กลมกลืนไปเสียทั้งหมดทีเดียวกับบริบทของพื้นที่จัดแสดง (เชื่อกันว่า วัดป่าสักแรกสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยพญาแสนภู เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์มังราย) แต่กลับดูมีรูปลักษณ์ของความเป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่เน้นความเรียบง่าย
แต่กระนั้นงานภาคกลางแจ้งของจิตติชิ้นนี้ได้ดึงเอารูปปูนปั้นหน้ากาลที่ประดับประดาอยู่รอบองค์เจดีย์เข้ามาเป็นเนื้อหาสำคัญ และได้เลือกใช้ทองเหลืองเพื่อล้อกับแผ่นทองจังโกในอดีต อันแสดงให้เห็นถึงความพยายามของศิลปินที่จะศึกษาความหมายและบริบทเดิมของพื้นที่ที่ใช้จัดแสดง โดยได้สกัดสารัตถะสำคัญมารังสรรค์ต่อ ให้มีลักษณะของความเป็นศิลปะร่วมสมัยที่เน้นแนวคิด (Contemporary Conceptual Art)
สีสันหนึ่งในการชมผลงานชิ้นนี้มาจากการที่ชิ้นงานสามารถขยับเคลื่อนไหวได้ โดยสะท้อนเงาและแสงได้บ้าง นับว่าเป็นการปลุกให้อดีตศาสนสถานสำคัญแห่งนี้ตื่นขึ้นมามีชีวิตชีวา เงาวิบวับที่สะท้อนออกมาจากหน้ากลองโลหะ ได้สร้างทั้งบรรยากาศของการตื่นรู้และเสมือนสะกิดให้ตัวหน้ากาลที่คอยเฝ้าสถานที่มาหลายศตวรรษได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
จากหน้ากาลและหน้ากลอง เวลาและการว่ายวน สู่การหลุดพ้นใน“ ร้อยกรองกาล
หน้าที่หลักของงานศิลปะที่ดำรงอยู่ในศาสนสถานประการหนึ่งคือการเป็นเครื่องมือช่วยสื่อถึงหลักธรรม งานของจิตติก็มีความตั้งใจเช่นนั้น แต่อะไรคือนัยของสิ่งต่าง ๆ (motif) ที่ศิลปินได้หยิบจับมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น หน้ากาล ภาพของโลกธาตุ/จักรวาล การวนฉายซ้ำไปมาของภาพเคลื่อนไหว วลีต่างภาษาที่เป็นสูตรที่ว่าด้วยอาณาเขตของโลกธาตุ/จักรวาล การหายสลายไปของภาพที่ปรากฏ รวมถึงหน้ากลองสะบัดชัย และเหล่าศิลปวัตถุโบราณรายล้อมที่ติดตั้งมาแต่เดิม แล้วหลักธรรมข้อใดที่ผูกโยงสิ่งเหล่านี้เอาไว้
ในทางศิลปะ อาจกล่าวได้ว่างานส่วนนี้ จิตติได้แต่งเติมสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวภาพเคลื่อนไหวของหน้ากาล ถ้อยคำจากนานาภาษาและตัวอักขระ และแผ่นจารทองเหลืองทั้งชิ้นที่อยู่นิ่งและที่เคลื่อนไหวได้ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ในการชมผลงานในส่วนของชิ้นกลางแจ้ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมโยง (interpolation) ขยายต่อ (extrapolation) และสร้างความหมายใหม่ (recontextualization) ให้กับผลงานศิลปวัตถุที่มีอยู่เดิม อย่างเหล่าประติมากรรมหน้ากาลและพระพุทธรูปปางเปิดโลก ไปพร้อม ๆ กับการขยายบริบทของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาให้ไปมากกว่าเมืองเชียงแสนและอาณาจักรล้านนาในอดีต
คงเป็นการยากที่จะสรุปว่าศิลปินผู้ผ่านมากบวชเรียนมาหลายพรรษาอย่างจิตติจะคาดหวังอะไรกับผู้ชมงานชิ้นนี้ของเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชมของเขานอกจากจะได้สัมผัสกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ศิลป์ท้องถิ่น เรียนรู้พุทธประวัติและเส้นทางการเดินทางของพุทธศาสนา ยังได้เพลิดเพลินไปกับกลวิธีอันแยบคายในการนำเสนอ การนำภาษาต่าง ๆ มาซ้ำความกันประหนึ่งเป็นการสร้างปริศนาธรรม และการล้อกันระหว่างสิ่งที่เติมเข้าไปใหม่และบริบทของศิลปวัตถุ อาคาร และพื้นที่ที่มีอยู่เดิม โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางศิลปะของตัวศิลปินเองที่ขึ้นชื่อในการเล่น ล้อ และกระตุ้นให้คนชมผลงานสร้างความหมายใหม่กับพื้นที่ตามการตีความของแต่ละคน
KALA ENSEMBLE
Multimedia installation by Chitti Kasemkitvatana
Thailand Biennale Chiang Rai 2023
9 December 2023 - 30 April 2024
Wat Pa Sak & National Museum, Chiang Saen
IG : kala.ensemble
Chiang Rai, the site of the third Thailand Biennale, is well-known as a hub of diverse fine art heritages that have long been associated with various beliefs, rites and religions. In reflecting on the region’s cultural fertility, Chitti Kasemkitvatana creates his most recent art project, Kala Ensemble, by exploring two representative subjects of Lanna civilization. Both share the theme of ‘face’: that of the Kala Face demon, and that of the Klong Sabadchai, or victory drum (a percussion instrument used in rituals). These subjects are also utilized as the physical ground of the artist’s exhibited art pieces, which survey spiritual artistic creativity in the past and Buddhist disseminations of varied periods, sects and areas. Despite focusing on Chiang Saen city and the Lanna Kingdom, Chitti extends his references to include other relevant areas as far afield as India, Afghanistan, Tibet and so on. The entirety of the artist’s scope aligns with the routes where Buddhism extended in the past.
The project’s title, Kala Ensemble, derives partly from Kala Face. In ancient India, this demon was believed to be a guardian of thresholds, as well as a metaphoric symbol of time which devours all things.
Inevitably, the repeating visual motifs of this alluded character featured in Kala Ensemble are aimed to convey the notion of time, to which several subjects related to this project are connected. Among them are the concept of time in Buddhist philosophy, the modern visits to ancient Buddhist routes referred to in certain art pieces and accompanying texts, the legend of the Lord Buddha’s journey around the world (Tamnan Phra Chao Liab Loke) and so on. Chitti has endowed these references with pertinent significance by arranging them in the same dimension as the content of his current artistic project.
In order to extend his thematic juxtaposition, the title Kala Ensemble is shared by both of Chitti's works featured in this biennale via the employment of video, sculpture and installation art. The former work is located at the museum, where viewers seem to be encouraged to appreciate each art piece individually, one at a time. The latter work, a set of installation art pieces, is situated at an archaeological site nearby. The exhibited set of several standing objects seems to resemble an organic part of the overall landscape, and its content seems to be connected to the site’s historical significance. Nonetheless, despite different locations, both spaces play a pivotal role for the study of art and religious history of the North and the whole of modern-day Thailand.
At Chiang Saen National Museum
The first display site of Kala Ensemble is a corner inside Chiang Saen National Museum where several ancient artifacts from Wat Pa Sak, Chiang Rai’s leading ancient temple and now a historical site, are displayed. Two of the featured works are a sculpture of Lord Buddha in the posture of ‘Pang Poed Loke’, or ‘laying open the worlds’, and another of the Kala Face. Chitti has installed two small monitors for the presentation of two video clips. Nearby is located a round brass plate inscribed with a graphic image illustrating his interpretation of Buddhist cosmology.
The first monitor, to the left of the Kala Face, screens a moving graphic image mimicking the formation of an old stucco of Kala Face, the signature decorative art piece from Wat Pa Sak. The rendered face transforms itself into various dimensions, angles and graphic versions.
Next, the screening changes to portray a series of borrowed images of various versions of the Kala Face from different periods and styles, starting with: 1) Haripunjaya style, 2) Sukhothai style, 3) Ancient Indian style (represented by the Kirtimukha from Deverani temple in Dahshina Kosala region in the past, Chhattisgarhi state in the present), 4) Bamiyan style, Afghanistan, 5) Nalanda style, India 6) Indian style (represented by the Kirtimukha carved upon stone pillar at Bodhgaya, Bihar), 7) Chinese style (represented by Taotie) and 8) Tibetan-Nepalese style (represented by Mahākāla).
To the right of the sculpture of Lord Buddha in the posture of ‘laying open the worlds’ is the second monitor, displaying another graphic image of a Kala Face from Wat Pa Sak. This video features a series of captions displayed in various languages and scripts, of both ancient and contemporary versions, as well as various transliterations. All captions share the same message: ‘Lord Buddha Laying Open the Worlds’. The scripts include those of Sukhothai, Fakkham, Pallava, ancient Mon, Tai Lue, Tai Tai Khün, Tai Noi, Devanagari, Sinhala, Brahmi, Tham Lanna, Chinese, English, Loatian, Shan, Burmese, and modern Thai.
Following the presentation of the above captions, the Kala Face graphic morphs into an animation interpolating the renowned artwork Observable Universe. Originally submitted to NASA by the artist Pablo Carlos Budassi, this image is a representation of the realistic look of the scientific universe.
Being Trapped Everlastingly
The looped projection featured in this museum section of Kala Ensemble serves to remind viewers of the Buddhist belief in samsara. It also reflects the extraordinary number of beings who have yet to be enlightened, thus remaining trapped everlastingly inside mundane worlds.
When All Worlds Become Unveiled
The phrase ‘Lord Buddha Laying Open the Worlds’, which is featured in several languages in this work, relates to both a Buddhist belief and an anecdote of Lord Buddha’s life. There is a scene in the Tripitaka wherein the lord returns to the human world after preaching the enlightened dhamma to his mother and various angels in Tāvatiṃsa Heaven. The anecdote is sourced from Khuddaka Nikaya (collection of minor works) chapter in the Atthakatha (commentary) part of Tripitaka, concerning the topic of Twin Miracles.
During this period, with the lord’s charisma, all blocked worlds of beings are unveiled: that of Brahma Beings, Celestial Beings, human beings and Hell Beings. With this miracle, all beings are able to see others in the other three worlds accordingly.
At Wat Pa Sak
The second section of Kala Ensemble is located outdoors on the grounds of Wat Pa Sak, one of Chiang Rai’s important archaeological and religious sites. This ancient provincial architectural location is also considered to be one of Thailand’s exemplary sites of Buddhist art history. Examples of several art forms from various styles and periods are located here, ranging from Bagan, Lanna and Sukhothai, as well as ancient Khmer and China. The precious artwork extends to the temple’s stupa (chedi) with its refined ornamental stuccos.
Between the site’s main chedi and its former ordination hall, there is an installment of 12 metal constructions on poles with circular brass plates attached on top of each. The rounded profile of each brass plate shares the shape of the spiritual Klong Sabadchai drum. Each plate is mounted inside a circular outer ring-shaped frame of which the profile resembles the mouth of the Kala Face. With their dynamic ability to rotate around, these standing sculptures, a metaphor of ritual percussion without the sounds of drums, can be compared with prayer wheels being rotated by Tibetan Vajrayana Buddhists as a practice of worship and merit-making.
Moreover, each of the twelve brass plates is inscribed with the text of one of twelve translated languages and scripts, with the similar content to that of a textual abstraction of Culanika Sutta (a sutra explaining a millionfold middling world system or a ‘galactic cluster’), a part of the Tripitaka. The twelve languages and scripts featured are: 1. Sukhothai, 2. Fakkham, 3. Tham Lanna, 4. Shan, 5. Tai Khün, 6. Laotian, 7. Tai Noi, 8. Devanagari, 9. Pallava, 10. Ancient Mon, 11. Sinhala and 12. Burmese.
All of the diverse languages inscribed on the plates belong to various ethnic communities that either resided or currently reside in the local area of Chiang Rai, or have an association with the ancient routes of Buddhist dissemination. Viewers can access more information regarding each script on Instagram via QR code.
Furthermore, the selection of brass as the material for the plates is based on the rusted fragments found scattered around the site’s chedi, believed to be part of metal sheets clad upon the chedi’s surface in the past.
Kala Face: When the Guardian of Thresholds Is Awakened
At superficial glance, the installation component of Kala Ensemble at Wat Pa Sak lacks full integration with the context of the exhibition space. On one hand, the appearance of the poles and their shining plates looks rather simple and of a contemporary style. Upon deeper contemplation, however, it is apparent that Chitti has accomplished a full representation of the results of his significant research in curating the profile of the stucco of the Kala Face decorating the adjacent chedi as a thematic motif, as well as in selecting brass similar to that once used for covering the chedi as a contextual material. This exemplifies the artist’s endeavour to relate and integrate his contemporary art pieces with their surrounding historical backdrops.
The other attraction in enjoying this site-specific installation appears in the brass plates that can be flipped, half shiny and half reflective. This visual playfulness helps vivify the peaceful archaeological site, and seems to awaken the Kala Face in stuccos from its dormancy.
Kala Ensemble: Face, Time, Self-Entrapment and Enlightenment
One role artwork in religious spaces serves is that of being a medium with which to expose the audience to religious doctrine in innovative and creative contexts. Chitti’s Kala Ensemble is of this lineage. Nonetheless, what are the intended meanings of the motifs that the artist has included in this piece: the image of the Kala Face with its morphing appearance, the visual rendition of the half-scientific/half-imagined observable universe, the loop of graphic video clips, the sutra and the phrase in various scripts about Buddhist cosmology and the partial replication of the Klong Sabadchai, as well as the surrounding ancient art objects? Is there any point to the artist’s tying together of all these elements?
It could be said that, for the matter of fine art, Chitti has integrated new and contemporary components into his chosen historical objects and sites of exhibition: the moving picture of the Kala Face figure, the inscriptions and translations of texts from old scriptures, as well as the setting of outdoor immersive-cum-interactive experience near an ancient chedi. Chitti’s conceptual project challenges not only the interpolation and extrapolation, but also the recontextualization, of the original and old objects with a new message. Meanwhile, he invites and leads his audiences to Buddhist areas far away from Chiang Saen and Lanna, those from which the existing sculptures and architectural pieces originate.
Chitti Kasemkitvatanas’s expectations for the reaction of viewers of his work are difficult to predict. Nevertheless, those who view Kala Ensemble gain not only exposure to local art history, to an anecdote of Lord Buddha’s life and to the artistic history of Buddhism. They can also be expected to gain pleasure and a sense of wonder in experiencing the artist’s innovative methods of presentation, which include the juxtaposition of modern objects with ancient counterparts and contemplation of hidden meanings within scripts comprised of unfamiliar characters. This follows the sophisticated signature style of this artist, who enjoys encouraging his audiences to independently interpret his conceptual artworks in order to derive their own individual messages.
Multimedia installation by Chitti Kasemkitvatana
Thailand Biennale Chiang Rai 2023
9 December 2023 - 30 April 2024
Wat Pa Sak & National Museum, Chiang Saen
IG : kala.ensemble
Chiang Rai, the site of the third Thailand Biennale, is well-known as a hub of diverse fine art heritages that have long been associated with various beliefs, rites and religions. In reflecting on the region’s cultural fertility, Chitti Kasemkitvatana creates his most recent art project, Kala Ensemble, by exploring two representative subjects of Lanna civilization. Both share the theme of ‘face’: that of the Kala Face demon, and that of the Klong Sabadchai, or victory drum (a percussion instrument used in rituals). These subjects are also utilized as the physical ground of the artist’s exhibited art pieces, which survey spiritual artistic creativity in the past and Buddhist disseminations of varied periods, sects and areas. Despite focusing on Chiang Saen city and the Lanna Kingdom, Chitti extends his references to include other relevant areas as far afield as India, Afghanistan, Tibet and so on. The entirety of the artist’s scope aligns with the routes where Buddhism extended in the past.
The project’s title, Kala Ensemble, derives partly from Kala Face. In ancient India, this demon was believed to be a guardian of thresholds, as well as a metaphoric symbol of time which devours all things.
Inevitably, the repeating visual motifs of this alluded character featured in Kala Ensemble are aimed to convey the notion of time, to which several subjects related to this project are connected. Among them are the concept of time in Buddhist philosophy, the modern visits to ancient Buddhist routes referred to in certain art pieces and accompanying texts, the legend of the Lord Buddha’s journey around the world (Tamnan Phra Chao Liab Loke) and so on. Chitti has endowed these references with pertinent significance by arranging them in the same dimension as the content of his current artistic project.
In order to extend his thematic juxtaposition, the title Kala Ensemble is shared by both of Chitti's works featured in this biennale via the employment of video, sculpture and installation art. The former work is located at the museum, where viewers seem to be encouraged to appreciate each art piece individually, one at a time. The latter work, a set of installation art pieces, is situated at an archaeological site nearby. The exhibited set of several standing objects seems to resemble an organic part of the overall landscape, and its content seems to be connected to the site’s historical significance. Nonetheless, despite different locations, both spaces play a pivotal role for the study of art and religious history of the North and the whole of modern-day Thailand.
At Chiang Saen National Museum
The first display site of Kala Ensemble is a corner inside Chiang Saen National Museum where several ancient artifacts from Wat Pa Sak, Chiang Rai’s leading ancient temple and now a historical site, are displayed. Two of the featured works are a sculpture of Lord Buddha in the posture of ‘Pang Poed Loke’, or ‘laying open the worlds’, and another of the Kala Face. Chitti has installed two small monitors for the presentation of two video clips. Nearby is located a round brass plate inscribed with a graphic image illustrating his interpretation of Buddhist cosmology.
The first monitor, to the left of the Kala Face, screens a moving graphic image mimicking the formation of an old stucco of Kala Face, the signature decorative art piece from Wat Pa Sak. The rendered face transforms itself into various dimensions, angles and graphic versions.
Next, the screening changes to portray a series of borrowed images of various versions of the Kala Face from different periods and styles, starting with: 1) Haripunjaya style, 2) Sukhothai style, 3) Ancient Indian style (represented by the Kirtimukha from Deverani temple in Dahshina Kosala region in the past, Chhattisgarhi state in the present), 4) Bamiyan style, Afghanistan, 5) Nalanda style, India 6) Indian style (represented by the Kirtimukha carved upon stone pillar at Bodhgaya, Bihar), 7) Chinese style (represented by Taotie) and 8) Tibetan-Nepalese style (represented by Mahākāla).
To the right of the sculpture of Lord Buddha in the posture of ‘laying open the worlds’ is the second monitor, displaying another graphic image of a Kala Face from Wat Pa Sak. This video features a series of captions displayed in various languages and scripts, of both ancient and contemporary versions, as well as various transliterations. All captions share the same message: ‘Lord Buddha Laying Open the Worlds’. The scripts include those of Sukhothai, Fakkham, Pallava, ancient Mon, Tai Lue, Tai Tai Khün, Tai Noi, Devanagari, Sinhala, Brahmi, Tham Lanna, Chinese, English, Loatian, Shan, Burmese, and modern Thai.
Following the presentation of the above captions, the Kala Face graphic morphs into an animation interpolating the renowned artwork Observable Universe. Originally submitted to NASA by the artist Pablo Carlos Budassi, this image is a representation of the realistic look of the scientific universe.
Being Trapped Everlastingly
The looped projection featured in this museum section of Kala Ensemble serves to remind viewers of the Buddhist belief in samsara. It also reflects the extraordinary number of beings who have yet to be enlightened, thus remaining trapped everlastingly inside mundane worlds.
When All Worlds Become Unveiled
The phrase ‘Lord Buddha Laying Open the Worlds’, which is featured in several languages in this work, relates to both a Buddhist belief and an anecdote of Lord Buddha’s life. There is a scene in the Tripitaka wherein the lord returns to the human world after preaching the enlightened dhamma to his mother and various angels in Tāvatiṃsa Heaven. The anecdote is sourced from Khuddaka Nikaya (collection of minor works) chapter in the Atthakatha (commentary) part of Tripitaka, concerning the topic of Twin Miracles.
During this period, with the lord’s charisma, all blocked worlds of beings are unveiled: that of Brahma Beings, Celestial Beings, human beings and Hell Beings. With this miracle, all beings are able to see others in the other three worlds accordingly.
At Wat Pa Sak
The second section of Kala Ensemble is located outdoors on the grounds of Wat Pa Sak, one of Chiang Rai’s important archaeological and religious sites. This ancient provincial architectural location is also considered to be one of Thailand’s exemplary sites of Buddhist art history. Examples of several art forms from various styles and periods are located here, ranging from Bagan, Lanna and Sukhothai, as well as ancient Khmer and China. The precious artwork extends to the temple’s stupa (chedi) with its refined ornamental stuccos.
Between the site’s main chedi and its former ordination hall, there is an installment of 12 metal constructions on poles with circular brass plates attached on top of each. The rounded profile of each brass plate shares the shape of the spiritual Klong Sabadchai drum. Each plate is mounted inside a circular outer ring-shaped frame of which the profile resembles the mouth of the Kala Face. With their dynamic ability to rotate around, these standing sculptures, a metaphor of ritual percussion without the sounds of drums, can be compared with prayer wheels being rotated by Tibetan Vajrayana Buddhists as a practice of worship and merit-making.
Moreover, each of the twelve brass plates is inscribed with the text of one of twelve translated languages and scripts, with the similar content to that of a textual abstraction of Culanika Sutta (a sutra explaining a millionfold middling world system or a ‘galactic cluster’), a part of the Tripitaka. The twelve languages and scripts featured are: 1. Sukhothai, 2. Fakkham, 3. Tham Lanna, 4. Shan, 5. Tai Khün, 6. Laotian, 7. Tai Noi, 8. Devanagari, 9. Pallava, 10. Ancient Mon, 11. Sinhala and 12. Burmese.
All of the diverse languages inscribed on the plates belong to various ethnic communities that either resided or currently reside in the local area of Chiang Rai, or have an association with the ancient routes of Buddhist dissemination. Viewers can access more information regarding each script on Instagram via QR code.
Furthermore, the selection of brass as the material for the plates is based on the rusted fragments found scattered around the site’s chedi, believed to be part of metal sheets clad upon the chedi’s surface in the past.
Kala Face: When the Guardian of Thresholds Is Awakened
At superficial glance, the installation component of Kala Ensemble at Wat Pa Sak lacks full integration with the context of the exhibition space. On one hand, the appearance of the poles and their shining plates looks rather simple and of a contemporary style. Upon deeper contemplation, however, it is apparent that Chitti has accomplished a full representation of the results of his significant research in curating the profile of the stucco of the Kala Face decorating the adjacent chedi as a thematic motif, as well as in selecting brass similar to that once used for covering the chedi as a contextual material. This exemplifies the artist’s endeavour to relate and integrate his contemporary art pieces with their surrounding historical backdrops.
The other attraction in enjoying this site-specific installation appears in the brass plates that can be flipped, half shiny and half reflective. This visual playfulness helps vivify the peaceful archaeological site, and seems to awaken the Kala Face in stuccos from its dormancy.
Kala Ensemble: Face, Time, Self-Entrapment and Enlightenment
One role artwork in religious spaces serves is that of being a medium with which to expose the audience to religious doctrine in innovative and creative contexts. Chitti’s Kala Ensemble is of this lineage. Nonetheless, what are the intended meanings of the motifs that the artist has included in this piece: the image of the Kala Face with its morphing appearance, the visual rendition of the half-scientific/half-imagined observable universe, the loop of graphic video clips, the sutra and the phrase in various scripts about Buddhist cosmology and the partial replication of the Klong Sabadchai, as well as the surrounding ancient art objects? Is there any point to the artist’s tying together of all these elements?
It could be said that, for the matter of fine art, Chitti has integrated new and contemporary components into his chosen historical objects and sites of exhibition: the moving picture of the Kala Face figure, the inscriptions and translations of texts from old scriptures, as well as the setting of outdoor immersive-cum-interactive experience near an ancient chedi. Chitti’s conceptual project challenges not only the interpolation and extrapolation, but also the recontextualization, of the original and old objects with a new message. Meanwhile, he invites and leads his audiences to Buddhist areas far away from Chiang Saen and Lanna, those from which the existing sculptures and architectural pieces originate.
Chitti Kasemkitvatanas’s expectations for the reaction of viewers of his work are difficult to predict. Nevertheless, those who view Kala Ensemble gain not only exposure to local art history, to an anecdote of Lord Buddha’s life and to the artistic history of Buddhism. They can also be expected to gain pleasure and a sense of wonder in experiencing the artist’s innovative methods of presentation, which include the juxtaposition of modern objects with ancient counterparts and contemplation of hidden meanings within scripts comprised of unfamiliar characters. This follows the sophisticated signature style of this artist, who enjoys encouraging his audiences to independently interpret his conceptual artworks in order to derive their own individual messages.
จูฬนิกาสูตร
อานนท์ สหัสสีโลกธาตุเท่าโอกาสที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรส่องทิศทั้งหลายให้สว่างรุ่งโรจน์ ในสหัสสีโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ๑,๐๐๐ ดวง มีดวงอาทิตย์ ๑,๐๐๐ ดวง มีขุนเขาสิเนรุ ๑,๐๐๐ ลูก มีชมพูทวีป ๑,๐๐๐ มีอปรโคยานทวีป ๑,๐๐๐ มีอุตตรกุรุทวีป ๑,๐๐๐ มีปุพพวิเทหทวีป ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร ๔,๐๐๐ มีท้าวมหาราช ๔,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราช ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นยามา ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นดุสิต ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นนิมมานรดี ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ๑,๐๐๐ มีพรหมโลก ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีโลกธาตุขนาดเล็ก โลก ๑,๐๐๐ คูณด้วยโลกธาตุขนาดเล็กนั้น นี้เรียกว่า สหัสสีโลกธาตุขนาดกลาง โลก ๑,๐๐๐ คูณด้วยสหัสสีโลกธาตุขนาดกลางนั้น นี้เรียกว่า สหัสสีโลกธาตุขนาดใหญ่ คัดลอกจากพระไตรปิฎก [ฉบับมหาจุฬาฯ] เล่มที่ ๒๐-๗ หน้า ๒๗๕ - ๓๒๐ สุตตันตปิฎกที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอกก ทุก ติกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์] ๓. อานันทวรรค ๑๐. จูฬนิกาสูตร (พระสูตรที่ว่าด้วยอาณาเขตโลกธาตุขนาดเล็ก) Culanika Sutta
Ananda, a galaxy extends a thousand times as far as the moon and sun revolve and the shining ones light up the quarters. In that galaxy there are a thousand moons, a thousand suns, a thousand Sinerus king of mountains, a thousand Indias, a thousand Western Continents, a thousand Northern Continents, a thousand Eastern Continents, four thousand oceans, four thousand Great Kings, a thousand realms of the Gods of the Four Great Kings, a thousand realms of the Gods of the Thirty-Three, of the Gods of Yama, of the Joyful Gods, of the Gods who Love to Create, of the Gods who Control the Creations of Others, and a thousand Brahmā realms. This is called a thousandfold lesser world system, a ‘galaxy’. A world system that extends for a thousand galaxies is called a millionfold middling world system, a ‘galactic cluster’. A world system that extends for a thousand galactic clusters is called a billionfold great world system, a ‘galactic supercluster’. Taken from Tipiṭaka, Numbered Discourses 3.80, 8. Ananda, Lesser, translated by Bhikkhu Sujato on SuttaCentral. (suttacentral.net) |
CREDITS
Production Team
Production & installation : Supernormal
Animation & moving-image works : DDMY Studio
Graphics : Wanchanok Sawasdee
Scripts and translation : Porpon Suksai, Department of Oriental Languages, Faculty of Archeology, Silpakorn University
Exhibition text : Pattara Danutra
Heartfelt thanks
Pensupa Sukkata
Pathompong Manakitsomboon
Thanavi Chotpradit
Staffs at Office of Contemporary Art & Culture
Staffs at Chiang Saen National Museum
Staffs at Wat Pa Sak
People of Chiang Saen
Thailand Biennale Team
Artistic director: Rirkrit Tiravanija & Gridthiya Gaweewong
Curators: Angkrit Ajchariyasophon & Manuporn Luengaram
Commissioned by Thailand Biennale, Chiang Rai 2023
Organized by Office of Contemporary Art & Culture, Ministry of Culture
Production Team
Production & installation : Supernormal
Animation & moving-image works : DDMY Studio
Graphics : Wanchanok Sawasdee
Scripts and translation : Porpon Suksai, Department of Oriental Languages, Faculty of Archeology, Silpakorn University
Exhibition text : Pattara Danutra
Heartfelt thanks
Pensupa Sukkata
Pathompong Manakitsomboon
Thanavi Chotpradit
Staffs at Office of Contemporary Art & Culture
Staffs at Chiang Saen National Museum
Staffs at Wat Pa Sak
People of Chiang Saen
Thailand Biennale Team
Artistic director: Rirkrit Tiravanija & Gridthiya Gaweewong
Curators: Angkrit Ajchariyasophon & Manuporn Luengaram
Commissioned by Thailand Biennale, Chiang Rai 2023
Organized by Office of Contemporary Art & Culture, Ministry of Culture